Work Style

หากเราทำในองค์กรใหญ่ๆ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพบเจอคนมากมายที่ต่างมีสไตล์การทำงานที่เป็นของตนเอง “ซึ่งบางครั้งหากเราไม่ได้ทำงานร่วมกันบ่อยๆคงยากที่จะรู้สไตล์กันและกัน และนั่นแหละครับคือจุดเริ่มต้นของปัญหาในการทำงานเป็นทีม”

แล้วสไตล์การทำงาน แต่ละคนเป็นอย่างไรละ บางคนก็ยังไม่รู้เลยว่าสไตล์การทำงานของตัวเองเป็นอย่างไร จะ copy จากเน็ตเท่ห์มาแปะก็ได้นะ แต่เคยทำอะไรไม่เหมือนที่เคยลั่นวาจาไว้ เด็กก็จะถอนหงอกเอาได้ แต่ แต่ แต่ จะให้คนหัวหงอก มาคอยอธิบายทุกอย่างให้เด็กๆฟังก็ไม่ไหวนะจ๊ะ

สไตล์การทำงานนอกจากจะไม่เหมือนกันแล้ว ต่อให้เป็นคนเดียวกันแต่การทำงานคนเดียวกับทำงานร่วมกับทีมก็แตกต่างกันอีก จะเอาแต่สไตล์ชั้น สไตล์เธอ อย่างเดียวไม่ได้ ดังนั้นหากทำงานเป็นทีม ผู้นำทีมจำเป็นจะต้องเป็นคนกำหนดทิศทาง โดยกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เป็นไปได้ก็อย่าปรับบ่อยนะครับ น้องๆในทีมคงทำตัวไม่ถูก ซ้ายที ขวาที เคยโดนมาก่อน เคยบอกเราแบบนี้ เราก็ทำตาม อาทิตย์นี้บอกดี อาทิตย์หน้าบอกผิด งี้ไม่เอา เข้าใจดีว่าแผนที่ดีต้องยึดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ ผู้นำที่เก่ง คิดไว ทำไว ปรับเปลี่ยนไวเท่าความคิด แต่ผู้ตามตามไม่ทัน การสื่อสารในทีมจึงสำคัญมากกกกกกก ต้องสื่อให้ทีมเข้าใจจริงๆ

ในสมัยยังเป็นเด็กใหม่ ผมทำงานขึ้นตรงกับผู้จัดการ งานไอทีก็งี้ ทำไห้ไม่มีใครสอนหรือคอยบอกทุกอย่างคิดเองทำเองหมด พอโตขึ้นได้ทำงานในที่ที่หลากหลายมากขึ้นได้มีโอกาศดีได้หัวหน้าดีๆ คอยสอน (พี่บอย ,พี่ตี๋ ,พี่นัท) ทำให้ผมเข้าใจเลยว่า หัวหน้าทีมคือผู้ที่คอยหล่อหลอมเด็กใหม่ สไตล์ของหัวหน้าแต่ละคนช่างแตกต่าง 5555 ผมก็ซึมซับเอาการอบรมสั่งสอนเหล่านั้น จนมาถึงวันที่ผมได้เป็นหัวหน้า มีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นของตัวเอง หึหึ ก็คงจริงอย่างที่เขาพูดๆกัน ถ้าอยากสบายอย่าเป็นหัวหน้า บางครั้งเราก็เห็นตัวเราในเด็กๆเหล่านี้ ความกล้า บ้าบิ่น ขาดเขลา แต่ใสซื่อ เที่ยงตรง ขวานผ่าซาก รักสบาย รักสนุก ขาดวินัย (กับบางคนนะจ๊ะน้องๆ)

สิ่งที่เราชี้นำเด็กๆเหล่านี้ให้เติบโตไปสู่เป็นบุคลากรชั้นเยี่ยม ส่งต่อจิตวิญญาณของผีบ้างาน เอ๊ย ความรับผิบชอบ ให้น้องๆ ได้นั้นคือประสบการณ์

ผมได้ฟังคำพูดของพี่ที่ผมเคารพมากคนหนึ่งพูดว่า เมื่อเราอายุเข้าเลขสี่ หน้าที่เราคือใช้ประสบการณ์ที่เรามีช่วยทำให้น้องๆรุ่นหลังก้าวไปให้ได้ไกลกว่าเรา ไม่ได้หมายความว่าออกค่ารถ ค่าน้ำมันอะไรอย่างนี้นะ แต่บางครั้งการแก้ปัญหาหน้างาน ก็ต้องใช้สติ การที่เราพบเจออะไรมามากมายทำให้เรามองปัญหาได้ขาดและแก้ปัญหาได้รวดเร็ว แต่บางทีน้องๆก็อาจเข็มขัดสั้น 5555 คาดไม่ถึง เราก็เติมเต็มช่องว่างตรงนั้นให้น้องๆได้ การบริหารทีมจึงท้าทาย และ ผมไม่ใช่หัวหน้าสไตล์พระเดช และ ไม่ใช่พวกเข้มงวด แต่ผมก็มีกฏสำหรับทีมของผม

กฏข้อที่ 1. อย่าเชื่อคำพูดของ User ทั้งหมด

ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เขาแจ้งมาไม่ถูก แต่อยากให้เราตรวจสอบก่อนที่จะเชื่อก็เท่านั้น จากประสบการณ์ต่างๆทำให้รู้เท่าทัน User ใช้คำว่าเล่ห์กล จะแรงไป 55 บางทีเขาก็พูดไม่รู้เรื่อง หมายถึงแจ้งปัญหาผิด ทำให้เราเข้าใจปัญหาผิดๆ หลงประเด็น ไปต่างๆนาๆ โดยเฉพาะโปรเจคบางตัวที่เราเปิดให้เขาใช้แล้วแต่เขาไม่แจ้ง ปัญหา ไม่ใช่ได้แปลว่าไม่มี แต่เขาไม่แจ้ง ต้องติดตามดูความเคลื่อนไหวเสมอ

กฏข้อที่ 2. งานของบริษัทจะติดตรงไหนก็ได้แต่ต้องไม่ติดที่แผนกเรา

บางครั้งบริษัทมีโปรเจคอะไรซักอย่างที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เช่น กำลังทำ แคมเปญ ส่งจดหมาย เสนอ สินค้าตัวใหม่ การดำเนินการจะติดตรงที่ ไปรษณีย์ปิดไม่มีคนไปไปรษณีย์ หรือ ปัญหาเรื่องอะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องไม่ให้ติดที่ปัญหาเรื่องไอที เช่น โปรแกรมทำจดหมายเวียนยังไม่เสร็จ หรือ ปริ้นมาแล้วผิดจนส่งไม่ทัน เป็นต้น

กฏข้อที่ 3. แผนงานต้องชัดเจน และ ติดตามเสมอ

การทำงานที่คิดแล้วทำเลยไม่ได้วางแผนนั้นสุดยอด แต่ถ้าทำเป็นทีมเราต้องสื่อสารเรื่องตารางเวลาให้ชัด เอกสารประกอบการตัดสินใจ วางตัวใครทำอะไร ใช้วิธีอะไรติดตามผลการทำงานให้ชัด ในขณะที่งานล้นมือเราพอจะจัดการอะไรได้บ้าง

กฏข้อที่ 4. เวลาออกแบบโปรแกรมต้อง Backup บ่อยๆ

ฺเวลาจะ Ship หาย นั้นบางทีมันก็มาโดยไม่รู้ตัว เชื่อผมเหอะ Backup code backup Database ไว้บ่อย

กฏข้อที่ 5. ให้คอมพิวเตอร์ทำงานแทนคุณ

งานที่ต้องทำซ้ำๆซากๆ ไม่เบื่อหรือลืม บ้างหรอ บางทีถึงเวลาที่ต้องใช้ Technology บ้างแล้วนะ แล้วคอยตรวจสอบมันอีกที

กฏข้อที่ 6. ฝึกฝนและเรียนรู้จักพื้นฐาน

ไม่มีทางลัดสำหรับจอมยุทธ์โลก Cyber คุณอาจเคยเห็น ก๋วยเจ๋ง เอี้ยก๋วย หรือ เตียบ่อกี้ ได้เคล็ดวิชามาแบบไม่ตั้งใจและตูมกลายเป็นจอมยุทธ์ในนิยายกิมย๋ง แต่สำหรับ สายไอที เราคงไม่บังเอิญตกเขาแล้วเขียน Flutter ได้ หรืออยู่ๆก็มีอาจารย์อา 7 คน คอยถ่ายถอด VueJs เป็น แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทุกคนต้องฝึกพื้นฐาน วิชาไทเก็กของ เตียซำฮง บู้ตึ้ง ก็มาจากวิชาพื้นฐานของเส้าหลินแต่ต่อยอดจนเป็นสุดยอดวิชา

กฏข้อที่ 7. หากเจอปํญหา (ติด Bug) จนไปต่อไม่ได้ ให้เดินออกมาแล้วค่อยกลับไปใหม่ จำไว้เสมอเราไม่ได้เจอปัญหานี้คนแรกของโลกหรอก

รู้อะไรไหมผมก็ติดบั๊กบ่อยไม่น้อยกว่าคุณหรอก บางทีก็ติดด้วยเรื่องโง่ๆ บางทีก็ติดเพราะโดนลากไปทำอะไรอย่างอื่นแล้วกลับมาทำต่อไม่ได้จนลืม บางทีก็เป็นปมในใจทีทำไม่ได้มาตั้งแต่สมัยก่อน แต่เชื่อไหมปัญหานี้แมร่งต้องมีคนเคยเจอมาก่อนเราเป็นโปรแกรมเมอร์ต้องสนิทกับ stack overflow นะ ใครบอกเป็นโปรแกรมเมอร์แต่ไม่รู้จัก stack overflow ถือว่าไม่ผ่านเลยนะ

กฏข้อที่ 8. จดสิ่งที่ต้องทำให้หมด จะได้วางแผนถูก

จำไม่หมดหรอกว่าต้องทำอะไร หรือต้องบอกคนอื่นว่าต้องทำอะไร เวลาเงียบจดมันซะ จดใส่กระดาษหรือ Trello ได้ไม่ว่ากัน จากนั้นเราจะมองออกว่าต้องทำตรงไหนเพิ่มหรือปรับตรงไหนดี พยายามทำทีเดียวแล้วให้มัน Impact หลายๆอย่าง เช่น ถ้าต้องส่งข้อความให้ลูกค้า ก็ควรแทรก QR Code ของ Line เบอร์โทรติดต่อกลับ และเห็นแก่พระเจ้า ***จด***มัน***ซะ***

กฏข้อที่ 9. พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่เราอยากเป็น

อยากเขียนโปรแกรมเก่ง ก็ต้องกด Like pageเขียนโปรแกรม subscribe ํYoutube หรือ Podcast เกี่ยวกับเทคโนโลยี คุยกับ พวกโปรแกรมเมอร์

กฏข้อที่ 10. ตั้งสติก่อนกระโจนเข้าใส่ปัญหา

เฮ้งานเราส่วนใหญ่คือแก้ปัญหานะ เราต้องเจอปัญหามากมาย หากเรารับปัญหามากไปจะปวดหัว สับสน บางครั้งบางทีมากเสียจนเราไปไม่เป็นเลย วิธีแก้ปัญหาก็ง่ายๆ เพราะเรามองมันใกล้เกินไปยังไงละ คุณลองเอาขวดน้ำมาวางใกล้ๆตาสิคุณก็จะมองไมเห็นอะไรเลย แต่ถ้าเราถอยห่างจากมันอีกหน่อย เราจะเห็นสิ่งที่อยู่หลังขวด และรอบๆตัวมัน ทำให้เราจัดการปัญหาได้ง่ายขึ้น และให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเฉพาะที่มือเราเอื้อมถึง เช่น ถ้าคุณจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็เริ่มที่ตัวคุณก่อน ไม่ต้องมองระดับประเทศ ถ้าว่ากันด้วยเรื่องของงาน คุณไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องความพร้อมของเครื่องคอมพ์ได้ ก็ต้องให้เขาซื้อใหม่ ไม่ใช่เสียเวลา แก้ code เพื่อให้รันกับ windows 7 ได้ เป็นต้น